Overview

ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การบริหารสินค้าคงคลัง เป็นหัวใจสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรและกระแสเงินสดขององค์กร การมีสินค้าคงคลังมากเกินไปทำให้เกิดต้นทุนในการจัดเก็บที่สูงขึ้น เสี่ยงต่อสินค้าล้าสมัยหรือเสื่อมสภาพ ในขณะที่การมีสินค้าคงคลังน้อยเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสในการขาย ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงที และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์องค์กร การบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างความพร้อมของสินค้ากับต้นทุนที่เหมาะสม ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน หลักสูตรนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้หลักการ แนวคิด และเทคนิคเชิงกลยุทธ์ในการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับองค์กร

สิ่งที่จะได้รับจากหลักสูตร

ผู้เข้าอบรมจะได้รับ:

1. ความเข้าใจเชิงลึก ในหลักการและแนวคิดของการบริหารสินค้าคงคลังสมัยใหม่

2. ทักษะในการวิเคราะห์ และพยากรณ์ความต้องการสินค้าอย่างแม่นยำเพื่อลดความเสี่ยง

3. ความรู้เกี่ยวกับเทคนิค และโมเดลการบริหารสินค้าคงคลังที่หลากหลาย เพื่อประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

4. แนวทางในการควบคุมต้นทุน ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ความสามารถในการระบุปัญหา และหาแนวทางแก้ไขเพื่อลดความสูญเปล่าที่เกิดจากสินค้าคงคลัง

6. โอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญและเพื่อนร่วมอาชีพ

หัวข้ออบรม

หลักสูตรครอบคลุมหัวข้อสำคัญดังต่อไปนี้:

ภาพรวมและบทบาทของสินค้าคงคลัง:

• ความหมาย ความสำคัญ และวัตถุประสงค์ของการมีสินค้าคงคลัง

• ประเภทของสินค้าคงคลังและหน้าที่ของสินค้าแต่ละประเภท

• ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคงคลัง (Holding Cost, Ordering Cost, Stockout Cost)

• บทบาทของการบริหารสินค้าคงคลังในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)

การพยากรณ์ความต้องการสินค้า (Demand Forecasting):

• หลักการและวิธีการพยากรณ์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ

• เทคนิคการพยากรณ์ยอดนิยม (เช่น Moving Average, Exponential Smoothing)

• การประเมินความแม่นยำของการพยากรณ์และการปรับปรุง

โมเดลและเทคนิคการบริหารสินค้าคงคลัง:

• ระบบควบคุมสินค้าคงคลังพื้นฐาน: Economic Order Quantity (EOQ), Reorder Point (ROP)

• การวิเคราะห์ ABC (ABC Analysis): การจัดหมวดหมู่สินค้าตามมูลค่าและความสำคัญ

• การวิเคราะห์ปริมาณการใช้สินค้า (VED Analysis): การจัดหมวดหมู่สินค้าตามความสำคัญในการดำเนินงาน

• การจัดการสินค้าคงคลังแบบ Just-In-Time (JIT): แนวคิดและเงื่อนไขความสำเร็จ

• การวางแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirements Planning - MRP): หลักการและองค์ประกอบ

• Safety Stock: การคำนวณและบริหารสินค้าคงคลังเพื่อลดความเสี่ยงสินค้าขาด

การจัดการสินค้าคงคลังในทางปฏิบัติ:

• การวางแผนและการควบคุมสินค้าคงคลังในแต่ละประเภท (วัตถุดิบ, งานระหว่างทำ, สินค้าสำเร็จรูป)

• การบริหารจัดการสินค้าที่เคลื่อนไหวช้า (Slow-Moving Items) และสินค้าที่เลิกผลิต (Obsolete Items)

• การดำเนินการตรวจนับสินค้าคงคลัง (Physical Inventory Count) และ Cycle Count

การใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริหารสินค้าคงคลัง:

• บทบาทของระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และ WMS (Warehouse Management System)

• การนำ Barcode, RFID และ IoT มาช่วยในการติดตามและบริหารสินค้า

การวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารสินค้าคงคลัง:

• ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (Key Performance Indicators - KPIs) สำหรับสินค้าคงคลัง

• การระบุและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคงคลัง

• แนวทางการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หลักสูตรนี้เหมาะกับใคร

• ผู้บริหารและพนักงาน ในแผนกจัดซื้อ จัดหา คลังสินค้า การผลิต และโลจิสติกส์

• เจ้าของกิจการ หรือผู้ประกอบการที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต้นทุนและกระแสเงินสด

• ผู้ที่สนใจ และต้องการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในหลักการและเทคนิคการบริหารสินค้าคงคลัง

• นักศึกษา หรือผู้ที่กำลังศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้อง และต้องการเสริมสร้างความรู้เชิงปฏิบัติ

รูปแบบการอบรม

• การบรรยาย: เน้นการถ่ายทอดหลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่สำคัญอย่างเป็นระบบ

• การอภิปรายกลุ่ม: เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และกรณีศึกษาที่หลากหลายจากผู้เข้าอบรม

• กรณีศึกษา (Case Study): วิเคราะห์สถานการณ์จริงจากธุรกิจต่าง ๆ และฝึกการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหา

• กิจกรรมเวิร์คช็อป (Workshop): ฝึกปฏิบัติการคำนวณ การพยากรณ์ และการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารสินค้าคงคลัง

• ถาม-ตอบ: เปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมสอบถามข้อสงสัยและขอคำแนะนำจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ